สองกฎการเงินที่อาจเปลี่ยนแปลงพรีเมียร์ลีกและฟุตบอลอังกฤษ

ตลอดไม่กี่ปีที่ผ่านมา PSR หรือ กฎกำไรและความยั่งยืน กลายเป็นฝันร้ายของทีมต่าง ๆ ใน พรีเมียร์ลีก ทำเอาหลายทีมโดนตัดแต้มไปตาม ๆ กัน

ทว่าอนาคตอันใกล้ กฎ PSR จะถูกแทนที่ด้วย 2 กฎ ที่หลายฝ่ายมองว่า อาจเปลี่ยนแปลงพรีเมียร์ลีกและฟุตบอลอังกฤษไปตลอดกาล ... Squad Cost กับ Spending Cap

เริ่มที่กฎแรก Squad Cost หรือ ต้นทุนทีม ซึ่งพรีเมียร์ลีกนำกฎเดียวกันที่ สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า นำมาใช้แทนกฎ ไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์ (Financial Fair Play) ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา

พื้นฐานของกฎนี้ยังคงเป็นการบังคับให้ใช้จ่ายได้ไม่เกินรายรับของทีม โดยแต่ละปี สโมสรจะสามารถใช้เงินกับการจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะและสตาฟทีมชุดใหญ่, ค่าธรรมเนียมเอเยนต์นักเตะ และ ค่าตัดจำหน่ายของเงินที่ใช้สำหรับการซื้อนักเตะ ซึ่งจะนำมูลค่าการซื้อขายนักเตะ และค่าเหนื่อย หารเฉลี่ยมูลค่าสัญญา เพื่อลงบัญชีต่อปี ได้ไม่เกินกำหนด

โดยทีมที่ได้ไปเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรป จะใช้จ่ายได้ไม่เกิน 70% ของรายได้ต่อปี ตามที่ยูฟ่ากำหนดไว้ ส่วนทีมอื่น ๆ สามารถใช้จ่ายได้ไม่เกิน 85% ของรายได้ต่อปี

ส่วน Spending Cap หรือ เพดานการใช้จ่าย มีพื้นฐานคือ ห้ามใช้เงินเกินกว่าที่กำหนด โดยแต่ละทีมสามารถใช้เงินกับนักเตะในทีมได้มากที่สุด แค่เพียงเพดานที่กำหนดไว้ นั่นคือ 5 เท่า จากรายได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดของทีมที่ได้เงินน้อยสุดในพรีเมียร์ลีกแต่ละฤดูกาล

โดยบทลงโทษของสโมสรที่ฝ่าฝืนกฎ Squad Cost หรือ Spending Cap ยังคงมีหลากหลาย ทั้งการปรับเงิน และตัดแต้ม ไม่ต่างจากการฝ่าฝืนกฎ PSR ในปัจจุบันเลย

กฎ Squad Cost ได้รับความเห็นชอบจากสโมสรสมาชิกพรีเมียร์ลีกแล้ว และจะมีการโหวตเห็นชอบในรายละเอียดในการประชุมใหญ่ประจำปี เดือนมิถุนายนนี้ ขณะที่กฎ Spending Cap เพิ่งได้รับความเห็นชอบจากสโมสรสมาชิก แม้ทั้ง 20 ทีม ไม่เห็นพ้องต้องกันก็ตาม

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แอสตัน วิลล่า เป็น 3 ทีมที่โหวตไม่เห็นด้วย ขณะที่  เชลซี งดออกเสียง โดยทีมปีศาจแดงแสดงความกังวลว่า กฎ Spending Cap อาจทำให้ทีมต่าง ๆ ในพรีเมียร์ลีกมีศักยภาพในการแข่งขันลดลง

ขณะเดียวกัน สมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ หรือ PFA ก็ง้างรอแล้วว่า เตรียมคัดค้านมาตรการใด ๆ ก็ตาม ที่จะจำกัดค่าเหนื่อยของผู้เล่นอย่างเข้มงวด

คงต้องติดตามกันต่อว่า เมื่อทั้งสองกฎถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ฤดูกาล 2025-26 เป็นต้นไป จะส่งผลกับพรีเมียร์ลีกอย่างไร และสิ่งที่หลายทีมกังวลว่า อาจทำลายเสน่ห์ลีกสูงสุดของอังกฤษ จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ?